เป็นอันทราบผลกันไปเรียบร้อยสำหรับการจับสลากแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 32 ทีมสุดท้าย ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่ราชรัฐโมนาโก โดยทางด้านแชมป์เก่าจากเกาะอังกฤษ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” จะเริ่มต้นภารกิจป้องกันแชมป์ในกลุ่มอี อันมีคู่แข่งร่วมสายอย่าง “บียาร์รีล” รองแชมป์ลา ลีกา สเปน “เซลติก” แชมป์สก็อตติช พรีเมียร์ ลีก และ “อัลบอร์ก” แชมป์เดนิช ซุปเปอร์ลีกา เดนมาร์ก โดยนัดแรกของปีศาจแดงจะได้เปิดรังโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ บียาร์รีล ในวันที่ 17 กันยายน 2551
ภายในงาน นอกจากจะมีการประกาศผลการแบ่งกลุ่มทั้ง 8 สายแล้ว ทางสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ยังได้ประกาศมอบรางวัล “นักเตะยอดเยี่ยมในระดับสโมสรของยุโรป” ให้กับนักเตะในตำแหน่งต่างๆ อีกด้วย โดยนักเตะจากทีมจ้าวยุโรปมีชื่อเสนอเข้าชิงในทุกตำแหน่ง เริ่มจาก “เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์” ในตำแหน่งผู้รักษาประตู “ริโอ เฟอร์ดินานด์” กับ “เนมันย่า วีดิช” ในตำแหน่งกองหลัง “พอล สโคลส์” ในตำแหน่งกองกลาง และ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” กับ “เวย์น รูนี่ย์” ในตำแหน่งกองหน้า
โดยท้ายที่สุดแล้ว ตำแหน่งผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมก็ตกเป็นของ “ปีเตอร์ เช็ก” ตำแหน่งกองหลังยอดเยี่ยมเป็นของ “จอห์น เทอร์รี่” และตำแหน่งกองกลางยอดเยี่ยม “แฟรงค์ แลมพาร์ด” ก็คว้าไปครอง เรียกได้ว่าทั้ง 3 รางวัลเป็นการซัดแฮตทริกจากทีมรองแชมป์ทั้งสิ้น มีเพียงตำแหน่งกองหน้ายอดเยี่ยมเท่านั้นที่ “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” สามารถแหกด่านสิงห์คว้ารางวัลมาครองได้สำเร็จ นี่ถ้า “ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา” ไม่สวมเขาตัวเองเอามือสะกิดหน้า “เซอร์บิเนเตอร์” ซะก่อน ไม่แน่อาจเป็นการเหมาหมดของทีม “ทริปเปิลรองแชมป์” ก็เป็นได้
และที่สำคัญ นอกจากจะคว้าตำแหน่งกองหน้ายอดเยี่ยมมาครองได้แล้ว ปีกจอมสับชาวโปตุเกสยังผงาดคว้ารางวัล “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีในระดับสโมสรของยุโรป” มาประดับบารมีตัวเองได้อีกตำแหน่งอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากที่ “เดวิด เบ็คแฮม” เคยคว้ารางวัลนี้มาครองได้ก่อนหน้านี้เมื่อปี 1999
ก่อนหน้านี้ ยอดปีกแดนฝอยทองก็เพิ่งกวาดรางวัลภายในประเทศอังกฤษมาอย่างเกลี้ยงเกลา ไม่ว่าจะเป็นรางวัล “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ จากเพื่อนร่วมอาชีพ” “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ จากแฟนบอล” และ “นักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าว” รวมไปถึงรางวัล “บาร์เคลย์ส รองเท้าทองคำ” และ “รองเท้าทองคำแห่งยุโรป” จากการตะบันคนเดียวไปถึง 31 ประตูในพรีเมียร์ ลีก อีกด้วย
จากรางวัลมากมายที่ดาหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงไม่แปลกที่ โรนัลโด้ จะถูกยกให้เป็นแคนดิเดทอันดับแรกที่จะกวาดรางวัลใหญ่อีกรางวัล ซึ่งจะประกาศผลกันในช่วงปลายปีนี้… “บัลลงดอร์”
“บัลลงดอร์” หรือที่รู้จักกันในฐานะ “รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป” เป็นการรวบรวมคะแนนเสียงจากผู้สื่อข่าวกีฬาทั่วโลกของนิตยาสาร “ฟร้องซ์ ฟุตบอล” ถือเป็นสุดยอดรางวัลปรารถนาสำหรับนักเตะในทวีปยุโรปทุกคน เพราะนอกจากจะมีคู่แข่งเป็นนักเตะทุกคนที่สังกัดอยู่กับสโมสรในทวีปยุโรปแล้ว ยังเป็นผลโหวตจากผู้สื่อข่าวทั่วโลกอีกด้วย แถมเมื่อปีที่แล้ว บัลลงดอร์ ยังได้ถูกยกระดับฐานะขึ้นเป็น “รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของโลก” อีกด้วย เรียกได้ว่านักเตะคนไหนผงาดคว้ารางวัลนี้ไปเชยชม ก็สามารถยืดอกบอกใครต่อใครไปได้ตลอดทั้งปีว่า “ข้านี่แหละ…สุดยอดของโลก”
โรนัลโด้ เคยเฉียดเข้าใกล้รางวัลนี้มาแล้วเมื่อปีกลาย ก่อนจะทำได้แค่หิ้วแห้วกระป๋องกลับโรงละครแห่งความฝันไปซดอย่างช่ำอุราทั้งปี เมื่อเป็น “ผีกาก้า” ที่ลอยลำเข้าวินไปด้วยคะแนนทิ้งห่างถึง 167 คะแนน แต่จากการทำงานอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาของรองอันดับหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เขากลับมาท้าชิงในปีนี้ด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม
แต่ก็คงไม่ใช่งานง่ายนัก สำหรับเจ้าของ 42 ประตูจากทุกรายการ ในการคว้าบัลลงดอร์ครั้งนี้ เมื่อมองไปก็ประสบพบเจอคู่แข่งอันตรายมากหน้าหลายตาทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น “ริคาร์โด้ กาก้า” และ “ลิโอเนล เมสซี่” สองคู่แข่งคนสำคัญจากปีที่แล้ว หรือแม้แต่ “อีเคร์ คาร์ซิยาส” ผู้รักษาประตูเจ้าของตำแหน่งแชมป์ลา ลีกา สเปน และแชมป์ยูโร 08 “ดาบิด บีย่า” ศูนย์หน้าดีกรีแชมป์ยูโร 08 ที่ควบตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดในรายการนี้มาด้วย “อังเดร อาชาวิน” เพลเมคเกอร์เจ้าของแชมป์ยูฟ่า คัพ ซึ่งพาทีมหมีขาวทะลุถึงรอบรองชนะเลิศศึกยูโร 08 รวมไปถึง “เฟอร์นานโด ตอร์เรส” ที่บรรดาสาวกเดอะ ค็อป หมายมั่นปั้นมือเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ได้แชมป์อะไรกับสโมสรเลยก็ตาม โดยทั้งหมดพร้อมจะปาดหน้าเค้กได้ทุกเมื่อ
สำหรับ ปีศาจแดง นั้นเคยมีนักเตะในสังกัดคว้า บัลลงดอร์ มาเป็นเกียรติประวัติของสโมสรก่อนหน้านี้ถึง 3 คน เริ่มจาก “เดนิส ลอว์” ราชาสตั๊ดเหินหาวสายเลือดสก็อต ด้วยผลงานการซัด 45 ประตูในฟุตบอลดิวิชั่น 1 อังกฤษโบราณ เมื่อปี 1964 คนต่อมาคือ “บ็อบบี้ ชาร์ลตัน” จากการพาทีมชาติอังกฤษขึ้นเถลิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรก ในปี 1966 ปิดท้ายด้วย “จอร์จ เบสต์” จากผลงานการทะลวงตาข่ายไปถึง 32 ประตู นำปีศาจแดงครองจ้าวยุโรปเป็นครั้งแรกของสโมสรและทีมแรกจากเกาะอังกฤษ ในปี 1968
เจ้าของหมายเลข 7 คนก่อน คว้ารางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีในระดับสโมสรของยุโรป มาครองได้สำเร็จ แต่กลับทำได้เพียงแค่ “เฉียด” กับบัลลงดอร์ อันสุดปรารถนา
ต้องรอดูกันว่า เจ้าของหมายเลข 7 คนต่อมา ที่คว้ารางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีในระดับสโมสรของยุโรป มาเชยชมได้แล้ว จะสามารถกระฉาก “ลูกบอลทองคำ” ติดมือกลับมาประดับบารมีได้อีกรางวัลหรือไม่
หลังจากที่ห่างหายมายาวนานถึง 40 ปี
chokechone11
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC